ชื่อ                    กมลนาวิน ยอดเทวี          

ระดับ                มัธยมศึกษาตอนต้น

สถานศึกษา       โรงเรียนสมคิดจิตต์วิทยา

ชื่อผลงาน          ลิงผู้เสียสละ                                          Title                  Ling-Pu-Sear-Sa-Ra

ชื่อวรรณกรรม     ลิงยอดกตัญญู

รหัสภาพ            10-021                                                 Code                10-021

วิธีทำ                สีอะคริลิคบนกระดาษ                             Method             Acrylic  Paint

ราคา                 5,000 บาท                                            Price                5,000 Baht

 

บทวรรณกรรม

             กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าหิมพานต์ได้มีพญาวานรอยู่ตัวหนึ่งนามว่า “นันทิยะ” ทำหน้าที่

ปกครองดูแลเหล่าวานรบริวารแปดหมื่นตัว นันทิยะนั้นมีน้องชายชื่อว่า “จุลลนันทิยะ” ทั้งสองมีแม่ที่แก่ชรา และตาบอด แต่เพราะด้วยความที่ต้องช่วยกันดูแลเหล่าบริวารวานรจำนวนมากให้อยู่อย่างปกติสุข ทั้งสองจึง ไม่มีเวลามาดูแลแม่ที่แก่ชรามากนัก แต่กระนั้นพญาวานรนันทิยะก็ยังคงหาผลไม้ดีๆ แล้วฝากวานรบริวาร นำไปให้แก่แม่ของตนกินอยู่เป็นประจำอยู่มาวันหนึ่งพญาวานรนันทิยะและจุลลนันทิยะได้มาเยี่ยมผู้เป็นแม่ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างกายที่ผ่ายผอมและทรุดโทรมเป็นอย่างยิ่งของผู้เป็นแม่ ครั้นเมื่อสอบถามแล้วจึงรู้ว่า ผลไม้ที่ตนฝากมาให้แม่นั้นไม่เคยถึงมือแม่ของตนเลยแม้สักครั้งเดียว พญาวานรนันทิยะรู้สึกเสียใจที่ตนเอง เป็นถึงพญาวานรที่ดูแลวานรบริวารให้อยู่ดีมีสุขได้ แต่กลับดูแลแม่ไม่ได้ปล่อยให้แม่แท้ๆ ต้องลำบากมานาน จึงกล่าวกับจุลลนันทิยะน้องชายว่า “จุลลนันทิยะเอ๋ย ต่อไปพี่จะอยู่ดูแลแม่ให้มีความสุข เจ้าจงรับตำแหน่ง จ่าฝูงปกครองดูแลวานรทั้งหลายแทนพี่ด้วยเถิด”แต่จุลลนันทิยะปฏิเสธ โดยกล่าวตอบนันทิยะผู้เป็นพี่ว่า

“ตัวข้าเองก็ปรารถนาจะปรนนิบัติรับใช้แม่ให้อยู่อย่างสุขสบายเช่นกัน ขอให้ข้าได้อยู่ดูแลแม่ร่วมกันกับพี่เถิด”

 ดังนั้นทั้งสองจึงละทิ้งฝูงลิงไป แล้วพาแม่ไปอาศัยอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมป่า คอยหาผลไม้และอยู่ปรนนิบัติ แม่ผู้ชราและตาบอดเป็นอย่าดีมิได้ขาดตกบกพร่อง อยู่มาวันหนึ่งได้มีนายพรานผู้หนึ่งจากเมืองพาราณสี เข้ามาล่าสัตว์ในป่า แต่วันนั้นเขาไม่ได้อะไรติดมือกลับบ้านเลย จึงเดินเรื่อยมาจนถึงชายป่า ขณะนั้นวานร ทั้งสองกำลังป้อนอาหารให้แก่แม่อยู่ เมื่อวานรสองพี่น้องเห็นนายพรานเดินมาแต่ไกลก็รีบปีนขึ้นไปหลบซ่อน อยู่บนต้นไม้ทันที ฝ่ายนายพรานเมื่อเดินมาถึงยังต้นไม้ใหญ่ก็เห็นวานรแก่ชราตาบอดนั่งอยู่ แทนที่เขาจะ สงสารกลับนึกดีใจว่าจะได้กินเนื้อวานรเป็นอาหาร แม้จะเป็นวานรแก่ๆ ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรติดมือกลับบ้านไป เมื่อคิดดังนั้นจึงโก่งคันธนูหมายจะปลิดชีพวานรชราผู้นี้ วานรนันทิยะเห็นดังนั้นจึงรีบกระโจนออกมาจาก ที่ซ่อนแล้วกล่าวกับนายพรานว่า “ขอท่านพรานไว้ชีวิตแม่ผู้ชราและตาบอดของข้าด้วยเถิด แล้วเอาชีวิตข้า ไปแทน” นายพรานจึงตกลงรับคำ วานรนันทิยะจึงยืนนิ่งให้นายพรานสังหาร แต่เมื่อฆ่าวานรนันทิยะไปแล้ว นายพรานใจบาปก็ไม่รักษาสัจจะ คิดแต่อยากได้เนื้อวานรกลับไปให้ได้มากที่สุด จึงโก่งคันธนูหมายจะปลิดชีพ วานรชราอีกครั้ง จุลลนันทิยะเห็นดังนั้นจึงรีบออกมาจากที่ซ่อนแล้วกล่าววิงวอนขอชีวิตแม่ของตนว่า

“ท่านพรานได้โปรดไว้ชีวิตแม่ผู้ชราของข้าด้วยเถิด แล้วเอาชีวิตของข้าไปแทน” นายพรานก็ตกลงรับคำเช่นเคย แต่เมื่อฆ่าวานรจุลลนันทิยะแล้วนายพรานใจบาปก็ยงคงไม่รักษาสัญญาเช่นเดิม ยิงศรใส่นางวานรชราทันที ทำให้วานรทั้งสามแม่ลูกตายตามกันไปจากนั้นนายพรานใจบาปก็หาบร่างของวานรทั้งสามออกจากป่าตรง กลับบ้าน แต่ด้วยบาปกรรมอันร้ายแรงที่ทำต่อวานรสามแม่ลูก ทำให้เกิดฟ้าผ่าลงมายังบ้านของนายพราน จนเกิดเพลิงไหม้ ทำให้เมียและลูกของนายพรานใจบาปผู้นี้ตายอยู่ในกองไฟนั้นเอง ครั้นเมื่อนายพรานกลับ ถึงบ้านก็ทราบข่าวทำให้เขาเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่งจนกลายเป็นบ้าไป ทิ้งหาบที่มีร่างอันไร้วิญญาณของ วานรทั้งสามตัวลงบนพื้น แล้ววิ่งร้องไห้เข้าไปในบ้านของตนที่ถูกเพลิงไหม้วอดวายแทบทั้งหลัง ขณะนั้นเอง ขื่อบ้านของเขาก็ตกลงทับศีรษะนายพรานใจบาป แผ่นดินแยกออก สูบร่างของเขาตกลงไปชดใช้กรรมต่อใน ขุมนรกอเวจี

 

ข้อคิดที่ได้

            คนเราต่อให้มีอำนาจหน้าที่ เงินทอง มากมายเพียงใดก็ตาม อย่างหลงระเริงไปกับสิ่งเหล่านั้น จนละเลยดูแลใส่ใจพ่อแม่ของเราให้ดีมีความสุข ก่อนที่จะสายเกินไป