ชื่อ                    สาวิณี ผิวเหลือง

ระดับ                มัธยมศึกษาตอนปลาย

สถานศึกษา        โรงเรียนดอนตาลวิทยา

ชื่อผลงาน          สังข์ทองหนีนางพันธุรัต

ชื่อวรรณกรรม    สังข์ทอง

 

บทวรรณกรรม

                เมื่อนั้น                           พันธุรัตขัดสนเป็นหนักหนา

แหงนดูลูกพลางทางโศกา              ดังหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย

โอ้ลูกน้อยหอยสังข์ของแม่เอ๋ย        กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้

จะร่ำร้องเรียกเจ้าสักเท่าไร              ก็ช่างเฉยได้ไม่ดูดี

สิ้นวาสนาแม่นี้แน่แล้ว                    เผอิญให้ลูกแก้เอาตัวหนี

จะขอลาอาสัญเสียวันนี้                  เจ้าช่วยเผาผีมารดา

อันพระเวทวิเศษของแม่ไซร้           ก็จะเขียนลงให้ที่แผ่นผา

จงเรียนร่ำจำไว้เถิดขวัญตา            รู้แล้วอย่าว่าให้ใครฟัง

เขียนพลางทางเรียกลูกน้อย           มาหาแม่สักหน่อยพ่อหอยสังข์

แต่พอให้ชมเสียสักครั้ง                   ขอสั่งสักคำจะอำลา

แม่อ้อนวอนว่าหนักหนาแล้ว           น้อยหรือลูกแก้วไม่มาหา

ทุ่มทอดตัวลงทรงโศกา                   สองตาแดงเดือดดังเลือดนก

ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิต                      ยิ่งคิดเคืองขุ่นมุ่นหมก

กลิ้งกลับสับส่ายเพ้อพก                  นางร่ำร้องจนอกแตกตาย

โอ้ว่ามารดาของลูกเอ๋ย                   พระคุณเคยปกเกล้าเกศี

รักลูกผูกพันแสนทวี                         เลี้ยงมาไม่มีให้เคืองใจ

จะหาไหนได้เหมือนพระแม่เจ้า       ดังมารดาเกิดเกล้าก็ว่าได้

สู้ติดตามมาด้วยอาลัย                    จนจำตายอยู่ในพนาวัน

โทษลูกนี้ผิดเป็นหนักหนา               ดังแกล้งผลาญมารดาให้อาสัญ

ทั้งนี้เพราะกรรมมาตามทัน              จึงสิ้นสุดชีวันบรรลัย

พระคุณล้ำลบจบดินแดน                 ยังไม่ทันทดแทนสนองได้

ร่ำพลางโศกีพิรี้พิไร                            ซบพักตร์สะอื้นไห้ไปมา

 

ข้อคิดที่ได้

                วรรณคดีเรื่องสังข์ทอง ตอนสังข์ทองหนีนางพันธุรัต ได้สื่อความหมายถึงความรักความผูกพันระหว่างแม่และลูก แม้ว่าทั้งสองจะไม่ใช่แม่ลูกกันที่แท้จริงก็ตาม แต่ทั้งสองก็มีความรักความห่วงใยต่อกัน เราควรมีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณกับเรา เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน ไม่ทำให้ท่านเสียใจ ดูแลท่านให้ดีที่สุดอย่างที่ท่านดูแลเรา ทำดีกับท่านก่อนที่จะสายเกินไป อย่างเช่น สังข์ทองไม่รู้ว่าความรักความห่วงใยที่นางพันธุรัตมีให้ตนนั้นมีมากเพียงใด กว่าจะรู้ก็สายไปแล้ว