ชื่อ                        ด.ช.ฐิตธีร์  ฆะระบุตร        

ระดับ                      ประถมศึกษาตอนปลาย

สถานศึกษา             โรงเรียนวัดลานตากฟ้า 

ชื่อผลงาน               ศึกบางระจัน

ชื่อวรรณกรรม         ศึกบางระจัน

 

 

บทวรรณกรรม

 

          ที่เมืองวิเศษชัยชาญมีคนไทยชื่อนายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง นายดอก(บ้านกลับ) นายทองแก้วบ้านโพธิ์ทะเล ได้ช่วยกันสู้กับพม่าและฆ่าพม่าตายไป ๒๐ คน แล้วหนีมาที่บ้านบางระจัน ได้รวมกับชาวบ้านบางระจันนิมนต์พระสงฆ์พระอาจารย์ธรรมโชติวัดเขานางบวชมาปลุกเสกคาถาอาคมให้หนังเหนียวมีกำลังใจสู้ศึกกับพม่า ชาวบ้านรวมกันได้ประมาณ ๔๐๐ คน มีหัวหน้าคือขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันหนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ พม่ายกทัพมาตีถึง ๗ เดือนด้วยกันก็มิอาจชนะชาวบ้านบางระจันได้

          แต่บังเอิญมีชาวมอญชื่อ สุกี้ ที่อาศัยในไทยขันอาสารบกับไทย ใช้วิธีใจเย็นสู้กับชาวบ้านเพราะรู้ว่าชาวบ้านใจร้อน รบกันอยู่นาน ชาวบ้านก็มีใบบอกไปถึงกรุงศรีฯ เพื่อขอปืนใหญ่และกระสุนปืนแต่ได้รับการปฏิเสธ เพียงแต่ส่งนายกองมาช่วยดูชาวบ้านจึงนำเศษทองเหลืองที่เรี่ยไรมาได้มาหล่อปืนใหญ่ ๒ กระบอก แต่ว่าปืนร้าวใช้งานไม่ได้ สุกี้เห็นว่าไทยเริ่มอ่อนแอจึงให้ขุดอุโมงค์เข้าไปใกล้ค่ายบางระจัน แล้วเอาปืนใหญ่ตั้งหอสูงระดมยิงใส่ค่ายจนค่ายแตก ทำให้ไทยต้องเสียค่ายบางระจันแก่พม่า (พร้อมด้วยเลือดเนื้อของวีรชนชาวบางระจัน)

          ค่ายบางระจันถูกพม่าตีแตกในวันจันทร์ เดือน ๘ แรม ๒ ค่ำ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ รวมระยะเวลาที่วีรชนชาวบางระจันต่อสู้นานถึง ๕ เดือน

 

 

แนวคิดและเหตุผล

 

          เหตุที่ชอบวรรณกรรมเรื่องศึกบางระจันเพราะว่ามีความประทับใจชาวบ้านที่มีความรักในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองและมีความสามัคคีและพยายามที่จะรักษาบ้านเมืองไว้ โดยรวบรวมชาวบ้านให้รุกขึ้นสู้กับพม่า ถึงแม้ว่าอาวุธที่มีอยู่จะไม่เพียงพอต่อความต้องการ และไร้ประสิทธิภาพ แต่ชาวบ้านก็ไม่รู้สึกหวั่นกลัวต่อข้าศึกศัตรูที่มีกำลังคนและอาวุธที่เหนือกว่าชาวบ้านต่อสู้ด้วยความรักและสามัคคีไม่รู้สึกย่อท้อต่อการต่อสู้ถึงแม้ว่าตัวจะตาย พวกเราควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างถ้าคนไทยมีความสามัคคีและรักบ้านเกิดเมืองนอนเหมือนบรรพบุรุษเหล่านี้บ้านเมืองเราควรจะเจริญรุ่งเรือง และมีความสุขตลอดไป