ชื่อ นายศรชัย
พงษ์ษา
ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถานศึกษา โรงเรียนเมธีชุณหะวัณวิทยาลัย
ชื่อผลงาน วีรชนชาวบ้านบางระจัน
ชื่อวรรณกรรม บางระจัน
บทวรรณกรรม
พม่าพากันหวาดกลัวฝีมือชาวบ้านบางระจัน
เพราะเสียทีที่ส่งกองทัพพม่าไปตีถึง ๗ ครั้ง พม่าก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยินทุกครั้ง
ส่วนชาวบ้านบางระจันนับวันก็จะมีกำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที
ระหว่างนั้นมีชาวมอญอาศัยอยู่เมืองไทยมานานได้ไปช่วยรบอยู่กับพม่า
จึงถูกแต่งตั้งให้เป็นนายกองเรียกกันว่าสุกี้(ชุกคยี) แปลว่านายกองใหญ่
อาสาปราบชาวบ้านบางระจันให้ได้ จึงเกณฑ์กำลังจำนวนประมาณ ๒,๐๐๐ คน ยกไปตีค่ายบางระจันเป็นครั้งที่
๘ สุกี้นั้นรู้จักคุ้นเคยกับคนไทยมานาน รู้นิสัยว่าคนไทยใจกล้า ถ้ารบกันในที่แจ้งอาจจะสู้ไทยไม่ดี
ทั้งหนทางนั้นเป็นป่าเปลี่ยว ไทยอาจแอบซุ่มโจมตีได้ สุกี้จึงเดินทัพไปอย่างช้าๆ
ด้วยความระมัดระวัง
ชาวบ้านบางระจันรู้ว่าพม่ายกทัพก็พยายามเข้าตีค่ายของพม่าหลายหน
แต่ในครั้งนี้ชาวบ้านบางระจันเสียเปรียบพม่า เพราะพม่ามีปืนใหญ่ แต่ทางชาวบ้านบางระจันไม่มี
เวลายกกำลังออกไปตีพม่าทีไรก็ถูกพม่าใช้ปืนยิงมาถูกชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายกลับมาทุกที
ด้วยความกลัดกลุ้มนายทองเหม็นจึงดื่มสุราแล้วขี่ควายออกจากค่ายพากำลังชาวบ้านออกตีค่ายพม่าอีก
นายทองเหม็นขี่ควายไล่ถลำเข้าไปในวงล้อมของพม่า พม่าจึงช่วยกันทุบตีจนตายไป
พวกชาวบ้านเมื่อเสียหัวหน้าค่ายก็ตกใจหนีกลับเข้าค่าย
และเป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านบางระจันพ่ายแพ้แก่พม่า
ทำให้ชาวบ้านต่างก็ปรึกษากันจึงเขียนใบบอกไปยังเมืองกรุงศรีอยุธยาเพื่อขอปืนใหญ่กับกระสุนดำ
เมื่อได้รับใบบอก บรรดาเสนาบดีต่างปรึกษากันและลงความเห็นว่าไม่ให้
เพราะเกรงว่าข้าศึกจะแย่งเอาไป
ได้แต่ส่งพระยารัตนาธิเบศร์ออกมาเรี่ยไรเครื่องภาชนะทองเหลืองของชาวบ้านมาหล่อปืนใหญ่ แต่พระยารัตนาธิเบศร์ไม่เคยหล่อปืนใหญ่มาก่อน ครั้นหล่อออกมาเสร็จพอจะยิงปืนก็แตก
พระยารัตนาธิเบศร์เห็นว่าการสงครามต่อไปคงไม่สำเร็จแน่จึงหนีไป ปล่อยให้ชาวบ้านบางระจันเผชิญชะตากรรมกันตามเวรตามกรรม
ต่อมานายแท่นซึ่งบาดเจ็บมานานก็ถึงแก่กรรมลง แต่ขุนสรรค์กับนายจันทร์หนวดเขี้ยวก็ยังมุ่งมั่น จึงรวมกำลังชาวบ้านออกตีค่ายพม่าอีก ขณะกำลังตีค่ายพม่าอยู่นั้น
พม่าก็นำกำลังออกจากค่ายโอบล้อมขุนสรรค์กับนายจันทร์หนวดเขี้ยวและพวกชาวบ้านไว้ แล้วโจมตีทางด้านหลัง
ชาวบ้านบางระจันไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกพม่าตีแตกพ่ายกระเจิงไป
ขุนสรรค์กับนายจันทร์หนวดเขี้ยวก็ถูกฆ่าตายทั้งคู่ พวกชาวบ้านบางระจันหมดหนทางที่จะต่อสู้ ต่างก็หมดกำลังใจ กำลังกายก็อ่อนแอลง
คงเหลือแค่นายพันเรืองกับนายทองแสงใหญ่เท่านั้นที่ยังคงคุมคนอยู่ ชาวบ้านบางคนต่างก็พาครอบครัวของตนหลบหนีไป
ฝ่ายสุกี้เห็นพวกชาวบ้านบางระจันอ่อนกำลังแล้วก็สั่งให้ขุนอุโมงค์เข้าไปตั้งค่ายประชิดกับค่ายบางระจัน
ปลูกหอรบสูง
นำปืนใหญ่ขึ้นไปตั้งแล้วยิงเข้าไปในค่ายบางระจัน
ทำให้ผู้คนระส่ำระส่าย สุกี้ก็สั่งให้ทหารของตนเข้าปล้นค่าย พวกชาวบ้านก็ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง แต่ชาวบ้านบางระจันไม่อาจต้านทานได้จึงถูกจับและฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
นายพันเรืองและนายแสงใหญ่ก็ต่อสู้กับพม่าจนตัวตายอยู่ในค่ายบางระจัน
ในที่สุดค่ายบางระจันที่เคยแข็งแกร่งก็ทนทานกำลังข้าศึกไม่ไหว
จึงแตกพ่ายไปเมื่อวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ พุทธศักราช ๒๓๐๙
แนวคิดและเหตุผล
ผมต้องการสื่อให้เห็นถึงภาพของวีรชนค่ายบางระจัน
กลุ่มคนที่เป็นเพียงชาวบ้านสามัญธรรมดา
แต่แฝงด้วยจิตใจวีรบุรุษทหารกล้า
ผู้เสียสละเลือด เนื้อ กาย
ใจ
ปกป้องผืนแผ่นดินเกิดจนตัวตายเพื่อรักษาคำว่า ชาติไทย ให้หลงเหลือตกถึงลูกหลานไทยมาจนทุกวันนี้
ถึงแม้ว่าในบางตอนของเรื่องทางราชการไม่ให้ความร่วมมือ
แต่ชาวบ้านก็ยังคงรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเปรียบกับ ชาติไทย ในปัจจุบันที่ต่างคิดจะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
อยากให้พรรคหรือฝ่ายของตนเองเป็นใหญ่ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจนลืมประโยชน์ส่วนรวม โดยลืมคำว่า ประชาธิปไตย ขาดความรักความสามัคคีในหมู่คณะ
คนในสมัยก่อนยอมสละเลือด
เนื้อ กาย ใจ เพื่อรักษาผืนแผ่นดินให้คงอยู่ซึ่ง เอกราช เพื่อให้ชนรุ่นหลังสืบต่อผลของการเสียสละเหล่านั้น
คำว่า
เอกราช ค่อยๆ หมดความหมาย เมื่อคนไทยต่างเบียดเบียนคนไทยด้วยกัน
ก่อให้เกิดความแตกแยกบนผลประโยชน์ส่วนตน
ผมนำเรื่องบางระจันขึ้นมาถ่ายทอดผ่านจินตนาการเพื่อสะท้อนให้คนไทยอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข
เป็นสังคมที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การแบ่งปัน มีน้ำใจ
มีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกันเสมือนสังคมของคนไทยโบราณ