ชื่อ                        นายจตุพร  แพงแซง        

ระดับ                      อุดมศึกษา

สถานศึกษา             วิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์             

ชื่อผลงาน               ขอข้าวหนูซิง

ชื่อวรรณกรรม         ขอข้าวหนูซิง

 

 

บทวรรณกรรม

          จินตนาการของภูมิปัญญาบรรพบุรุษ ที่ผูกจินตนาการเข้ากับคติข้อคิดในเรื่องความขยันทำงาน มีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท และใช้คำพูดจาไพเราะเสนาะหูถ่ายทอดผ่านนิทานสัตว์ที่ต่างมีอุปนิสัยเฉพาะตัว ทำให้นิทานพื้นบ้านเรื่องนี้มีทั้งความรู้และความรื่นรมย์

          หนูซิงผู้มีปัญญาและขยันขันแข็งจัดการขนก้อนดินมาปิดรูทางเข้าบ้าน กันน้ำไม่ให้ไหลเข้าไปท่วมยุ้งข้าว แล้วนอนสบายฟังเสียงฟ้าเสียงฝนอยู่ในบ้านอันแสนอบอุ่น หิวเมื่อไหร่ก็ลุกขึ้นมากิน ไม่ต้องออกไปนอกบ้านให้ยุ่งยากเปียกปอน

          หลายวันผ่านไป ฝนจึงซา ฟ้าจึงใส ต้อยตีวิดนกน้อยกางขาผวาปีกออกจากโพรงบ้าน บินไปหาเจ้านกเขาตู้ชวนกันออกหากิน       “แต้แต้แว้ด...ตุด ตุด ตู” (เสียงนกทั้งสองร้องประสานกัน)

          สองสหายพากันไปสอดส่องหาอาหาร แต่ช่างลำบากเหลือเกิน ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน น้ำเจิ่งนองท่วมท้องไร่ท้องนา มองหาเมล็ดข้าวไม่มีแม้ซักเม็ดเดียว ผลหมากรากไม้ที่หล่นอยู่เกลื่อนดินก็เริ่มงอกออกเป็นต้นอ่อน พวกหนอน แมลง ตั๊กแตนทั้งหลายถูกฝนซัดหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

          “แย่เลย ฝนตกไม่ลืมหูลืมตาตั้งหลายวันหลายคืน ฉันเพิ่งโผล่ออกมาจากบ้านได้วันนี้เอง ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่”  ต้อยตีวิดบ่นออดแอด

           “ฉันก็เหมือนกัน ทำยังไงดีล่ะ”

          “ไปขอข้าวหนูซิงดีไหม” ต้อยตีวิดเพิ่งนึกได้

          “โอ้...นั่นซีนะ” เจ้านกเขาตาโต “ไม่น่าลืมสหายผู้ขยันขันแข็งของเราเลยเนาะ”

          “งั้นเราจะช้าอยู่ทำไมเล่า”

          นั่นแล้วสองสหายจึงพากันบินฉิวไปที่บ้านของเจ้าหนูซิง ต้อยตีวิดหิวจัดจึงโผไปที่ประตูบ้านก่อน เคาะป๊อกๆๆ ที่ประตูแล้วส่งเสียงเข้าไปว่า

          “เจ้าหนูซิงตาสวด เจ้าผู้หนวดรุ่งริ่ง เจ้าอยู่บ้านนี้หรือเปล่าหนอ”

          ฝ่ายเจ้าของบ้าน หนูซิงผู้ชอบคำหวาน ครั้นได้ยินคำหยอกเย้าของสหายน้อยผู้ปากไม่ดี จึงร้องออกมาอย่างฉุนเฉียวว่า

          “เจ้าแต้แว้ดแต๊ดแต๋ เจ้ามาแต่หนใด ไปไกลจากบ้านของข้านา”

          แล้วประตูบ้านก็ปิดดังกึก ต้อยตีวิดจะเคาะอีกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบออกมาอีก ฝ่ายนกเขาเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าไปเคาะเอง ป๊อกๆๆ แล้วว่า

          “เจ้าหนูซิงตาสวย เจ้าผู้ขนสลวยหนวดงาม พ่อทรามเชยอยู่บ้านหรือเปล่าหนอ”

          ได้ยินดังนั้น ประตูก็เปิดออก พร้อมกับคำเชื้อเชิญว่า

          “พ่อนกเขาตู้ เจ้าขันคูเสียงเสนาะ ไม่ต้องเคาะประตู เชิญเข้าเลยนา”  นั่นแล้วนกเขาจึงได้เข้าไปกินข้าวจนอิ่มท้อง ปล่อยให้ต้อยตีวิดยืนหิวคอยอยู่ที่ประตูเพียงเดียวดาย

 

 

แนวคิดและเหตุผล

 

          ข้าพเจ้าต้องการแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจ ความขยันขันแข็งและการรู้จักแบ่งปันของเจ้าหนูซิงตัวน้อย เจ้าหนูซิงแบ่งปันข้าวในยุ้งฉางตัวเองให้กับเจ้านกเขาตู้เพื่อนรักที่มีนิสัยดี พูดจาไพเราะ ใครได้ฟังก็รู้สึกดี ผิดกับเจ้านกต้อยตีวิดที่ปากคอเราะร้าย พูดจาไม่เข้าหู ใครได้ฟังก็อารมณ์เสีย แล้วใครเขาจะอยากคุยด้วย ก็เลยต้องทนหิวอยู่ข้างนอก ไม่มีใครสนใจ

          ข้าพเจ้าต้องการเน้นให้เห็นตัวละครเพียงสองตัวเท่านั้นเพราะมันสามารถแสดงถึงความมีน้ำใจและรู้จักแบ่งปันได้เป็นอย่างดี

          งานชิ้นนี้ บรรยากาศโดยรวมจะอยู่ในโพรงของเจ้าหนูซิงมีแสงแดดยามเช้าลอดผ่านเข้ามาในโพรง กระทบกับรวงข้าวมากมายดูคล้ายกับขุมทรัพย์ทองคำอันล้ำค่าและอบอวนไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นอีสาน